ในปัจจุบันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า รถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV มีบทบาทสำคัญมากขึ้นในวงการยานยนต์บ้านเรา ด้วยเหตุผลสำคัญคือ การประหยัดเชื้อเพลิงพลังงานและเป็นการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย สำหรับกระแสความนิยมรถไฟฟ้าตั้งแต่ปีที่แล้วจนมาถึงปีนี้ดูว่ามีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้นจากปีที่แล้วอย่างมาก ทำให้ผู้บริโภคได้มีทางเลือกหลายทางมากขึ้น ทำให้ในปีนี้มีรถยนต์ไฟฟ้าน่าติดตาม และจะมีรุ่นไหนยอดฮิตและน่าติตามจะมีจากค่ายไหนบ้าง เชิญชมกันเลยครับ
5 รถยนต์ EVและไฟฟ้ายอดฮิตและน่าติดตามที่วางขายในไทย
รถยนต์ EV ยอดฮิตในไทยที่หลาย ๆ คนคุ้นเคยและเคยเห็นมาบ้างแล้วนั้นจะมีอะไรบ้าง หน้าตาจะเป็นอย่างไร เราไปติดตามกันเลยครั
1. Audi e-tron
เริ่มนที่อันดับแรกรุ่น Audi e-tron Sportback 55 quattro S line เป็นรถเอสยูวีทรงสปอร์ตคูเป้ ทรงพลัง สมรรถนะสูง ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ ขับเคลื่อนด้วยระบบ 4 ล้อ อัจฉริยะแบบไฟฟ้า (electric quattro) มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตำแหน่ง พร้อมพละกำลังสูงสุดถึง 300 กิโลวัตต์ หรือ 408 แรงม้า ระยะทางในการวิ่งสูงสุด 463 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง ทำให้มั่นใจในสมรรถนะที่จะตอบสนองการใช้งาน พร้อมความจุแบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงสูงแบบ ลิเธียมไออน 95 kWh ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ในเวลา 6.6 วินาที และ 5.7 วินาทีในบูสต์โหมด และทำความเร็วสูงสุดได้ 200 กม./ชม. ในส่วนของจุดเด่นของ e-tron คือ ความสามารถในการใช้งาน โดยการชาร์จไฟ 1 ครั้ง เดินทางได้ถึง 417 กม. มาในราคาขายเพียง 5.299 ล้านบาท และการดูแลจาก Audi Protection รับประกันรถใหม่ 5 ปี พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ทั่วประเทศ 24 ชั่วโมงนาน 5 ปี สำหรับลูกค้ารับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กม. เลยทีเดียว
2. MG ZS EV
มาที่อันดับที่สองกับค่าย MG ที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นตามฉบับของรถ SUV มีการออกแบบสีตัวถังแบบพิเศษเป็นสีฟ้า Copenhagen Blue ส่วนภายในห้องโดยสารแต่งโทนสีดำ ช่วยเพิ่มความคูลและยังมีระบบปรับอากาศแบบดิจิตอลที่สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 ได้ และยังเพิ่มความโดดเด่นด้วยหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof) สำหรับ NEW MG ZS EV เป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% มีมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor สามารถช่วยระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้น พร้อมด้วยแบบลิเธี่ยม ไอออน (Lithium-ion) ความจุ 44.5 kWh โดยมีพละกำลังสูงสุด 110 กิโลวัตต์ (150 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร สามารถเร่งจาก 0-50 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ด้วยระยะเวลาแค่ 3.1 วินาที และให้ระยะทางขับเคลื่อนสูงสุด 337 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC หรือมาตรฐานการทดสอบความประหยัดน้ำมันและมลพิษของยุโรป)
3.MG EP
อันดับสามยังเป็นของค่าย MG รุ่น MG EP เป็นรถยนต์ EVรุ่นแรกในประเทศไทยที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ห้องโดยสารกว้างพื้นที่ใช้งานเยอะบรรทุกทั้งคนและสิ่งของได้เยอะ พร้อมด้วยระบบความปลอดภัยครบครัน และติดตั้งหน้าจอ Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 163 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. โดยใช้เวลาเพียง 8.8 วินาที สำหรับรถรุ่น MG EP มีโหมดการขับขี่ให้เลือก 3 รูปแบบ คือ Eco, Normal และ Sport อีกทั้งยังสามารถชาร์จไฟได้ 2 รูปแบบ Normal Charge จาก 0-100% ผ่าน MG Home Charger ที่ใช้เวลา 7.15 ชั่วโมง และรูปแบบ Quick Charge จาก 0-80% ซึ่งใช้เวลาเพียง 40 นาทีเท่านั้น
4.Nissan Leaf
อันดับสี่ มาดูของค่าย Nissan กันบ้างกับรุ่น Nissan Leaf (นิสสัน ลีฟ) “Simply Amazing” เป็นรุ่นขายดีที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า “100%” มีอัตราการปล่อยมลพิษเป็น “0” ซึ่งถือว่าเป็นรถค่ายญี่ปุ่นเจ้าแรก ที่กระโดดลงมาทำตลาดรถยนต์ EV ในไทย สำหรับ Nissan Leaf มีการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 7.9 วินาที รองรับการขับขี่เป็นระยะทาง 311 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน NEDC ติดตั้งแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนความจุ 40 kWh สามารถชาร์จด้วยกำลังไฟขนาด 3.6 kW ได้ในเวลา 12 ชั่วโมง และกำลังไฟขนาด 6.6 kW ในเวลา 6 ชั่วโมง รองรับการชาร์จด่วนจนถึงระดับ 80% ได้ในเวลา 40 นาทร
5. ORA Good Cat
อันดับที่ห้า หลาย ๆ คนคงคุ้นเคยดีกับ ORA Good Cat จากค่าย Great Wall Motor มาพร้อมความโดดเด่น น่ารัก รูปลักษณ์ที่โค้งมนในสไตล์ Retro Futuristic ดีไซน์แบบคลาสสิค ออกแบบโดย Emanuel Derta อดีตนักออกแบบจาก Porsche และมีการผสานเทคโนโลยีการขับขี่ใหม่ล่าสุด สำหรับ ORA Good Cat ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 105 กิโลวัตต์ (143 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ให้อัตราเร่ง 0-50 กม./ชม. ภายใน 3.8 วินาที จำกัดความเร็วสูงสุดไว้ที่ 152 กม./ชม. ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์ ORA-Goddess Easy Drive ซึ่งมาพร้อมกับระบบระบายความร้อนด้วยน้ำและยังชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC (30%–>80%) ใช้เวลาประมาณ 32 นาที และ 40 นาที (ในรุ่น 500 Ultra), ชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC (0%–>80%) ใช้เวลาประมาณ 45 นาที และ 60 นาที (ในรุ่น 500 Ultra) กับการชาร์จไฟบ้านแบบ AC ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง และ 10 ชั่วโมง (ในรุ่น 500 Ultra)
5 รถยนต์ไฟฟ้าที่น่าติดตามปี 2022
มาถึงรถยนต์ EV ที่น่าจับตามองในปี 2022 จะมีรถยนต์ไฟฟ้าจากค่ายไหน มีความโดดเด่นอย่างไรและราคาเท่าไหร่ ไปติดตามกันดีกว่าว่าแต่ละรุ่นมีความพิเศษยังไงบ้าง
1. Audi e-tron GT
เริ่มต้นที่รถยนต์ไฟฟ้จากค่าย Audi ก็มีดีไซน์สวยไม่แพ้กัน มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 4.5 วินาที พร้อมด้วยระบบเซฟตี้แน่น ๆ ที่ช่วยให้ขับขี่ได้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น สมรรถนะเครื่องแรง และยังมีสีตัวถังมีให้เลือกถึง 8 สี ภายในห้องโดยสารหรูหรา กว้าง นั่งสบาย มีการรับประกันแบตเตอร์รี่นานถึง 8 ปี แถมมีโหมดบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ให้อีกเป็นเวลา 5 ปีอีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นรถไฟฟ้าแห่งปี 2022 ที่คุ้มค่า คุ้มราคาสุด ๆ
ราคาเริ่มต้น : 6,390,000 บาท
กำลังสูงสุด : 476 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด : 630 Nm
ขนาดแบตเตอรี่ : 93.4 กิโลวัตต์/ชั่วโมง
ใช้เวลาชาร์จนาน : 4 ชั่วโมง 30 นาที / ชาร์จด่วน ประมาณ 20 นาที
ระยะทางวิ่งเมื่อชาร์จเต็ม : 540 กม.
2.Porsche Taycan Turbo
สำหรับรถไฟฟ้าจากค่าย Porsche ที่มีดีไซน์สวยโดดเด่น มาพร้อมกับทรงสปอร์ต และมาแรงที่สุดในขณะนี้ ซึ่งรุ่นนี้เป็นไฟฟ้า 100% รุ่นแรกจาก Porsche ที่สามารถเพิ่มออปชั่นแบบ Custom ได้เองตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน มีอัตราเร่งที่ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแค่ 2.8 วินาทีเพียงเท่านั้น และมาพร้อมกับระบบเซฟตี้เหนือชั้น อย่างระบบที่ช่วยเบรกหรือช่วยเร่งอัตราความเร็วอัตโนมัติ ไม่ต้องกังวลต่อการขับขี่บนท้องถนน สำหรับใครที่เป็นชอบดีไซน์รถแบบโดดเด่น รับรองว่าเลือก Porsche Taycan Turbo ไม่มีผิดหวังแน่นอน
ราคาเริ่มต้น : 9,900,000 บาท
กำลังสูงสุด : 530-761 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด : 850-1,050 Nm
ขนาดแบตเตอรี่ : 93.4 กิโลวัตต์/ชั่วโมง
ใช้เวลาชาร์จนาน : 8 ชั่วโมง / ชาร์จด่วน 22 นาที
ระยะทางวิ่งเมื่อชาร์จเต็ม : 503 กม.
3. BMW i4
อีกรุ่นที่น่าจับตามองจากค่าย BMW ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว โดดเด่นด้วยช่องอากาศขนาดใหญ่ด้านหน้า การขับเคลื่อนที่เงียบ ไร้เสียงรบกวน ซึ่งรุ่นนี้ถือว่าเป็นรถไฟฟ้าทรงสปอร์ตสมรรถนะแรง มีอัตราเร่งความเร็ว 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4 วินาที มีโหมดการขับที่หลากหลาย ดีไซน์หน้าจอควบคุมที่กว้าง ซึ่งตอบโจทย์ทุกโหมดของชีวิต
ราคาเริ่มต้นประมาณ : ราคาในไทยยังไม่เปิดเผย
กำลังสูงสุด : 544 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด : 795 Nm
ขนาดแบตเตอรี่ : 390 กิโลวัตต์/ชั่วโมง
ใช้เวลาชาร์จนาน : 2 ชั่วโมง 24 นาที / ชาร์จด่วน 20 นาที
ระยะทางวิ่งเมื่อชาร์จเต็ม : 510-600 กม.
4. Tesla Model 3
รถยนต์ไฟฟ้าจาก Tesla ถือว่าเป็นค่ายที่บุกเบิกไฟฟ้าเป็นอันดับแรก เรียกได้ว่าเป็นบริษัทรถยนต์แห่งอนาคต มาพร้อมกับดีไซน์ทรงสปอร์ตที่สวยล้ำ หลังคากระจกพาดยาว ไม่มีท่อไอเสีย ทุกอย่างถือว่าสมบูรณ์แบบเป็นนวัตกรรมแห่งอนาคตเลยทีเดียว นอกจากทาง Tesla ยังมีการพัฒนาระบบการควบคุมด้วยระบบ AI รวมไปถึงระบบขับอัตโนมัติให้ด้วย ซึ่งตอนนี้มีทั้งหมด 3 รุ่น คือรุ่น Standard, Long Range และ Performance ให้เลือกตามสไตล์การขับของแต่ละคนได้
ราคาเริ่มต้น : 3,590,000 บาท
กำลังสูงสุด : 543 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด : 720 Nm
ขนาดแบตเตอรี่ : 54-75 กิโลวัตต์/ชั่วโมง
ใช้เวลาชาร์จนาน : 11 ชั่วโมง/ ชาร์จด่วน 1 ชั่วโมง
ระยะทางวิ่งเมื่อชาร์จเต็ม : 530 กม.
5. Mitsubishi Outlander PHEV
อีกรถยนต์ไฟฟ้า SUV ที่น่าสนใจจาก Mitsubishi เป็นรถไฟฟ้าระบบไฮบริด เปิดตัวเมื่อปี 2020 ในบ้านเรา ซึ่งรถยนต์ยี่ห้อนี้มีจุดเด่นตรงที่สามารถสลับโหมดกลับมาใช้น้ำมันได้ เหมาะเป็นรถครอบครัว เพราะมีห้องโดยสารที่กว้างขวาง และยังมีการรับประกันแบตเตอร์รี่ถึง 10 ปี หากใครที่อยากเริ่มขับรถยนต์ไฟฟ้าแต่กลัวว่าจะแบตหมดระหว่างทาง ก็สามารถลองเริ่มจากได้การใช้รถไฮบริดก่อนได้ แถมรุ่นใหม่ยังมีการพัฒนาให้วิ่งได้ไกลสุดถึง 700 กม. แต่ถ้าใช้โหมด EV 100% สามารถวิ่งได้ไกล 55 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง เท่านั้น
ราคาเริ่มต้น : 1,640,000 บาท
กำลังสูงสุด : 224 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด : 350 Nm
ขนาดแบตเตอรี่ : 13.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง
ใช้เวลาชาร์จนาน : 4 ชั่วโมง / ชาร์จด่วน 25 นาที
ระยะทางวิ่งเมื่อชาร์จเต็ม : 55 กม.
การดูแลรักษารถยนต์ EV และไฟฟ้า
แน่นอนว่ารถยนต์ EV นั้นต่างก็ต้องดูแลรักษาเช่นเดียวกับรถยนต์ทั่วไป ซึ่งรายละเอียดในการดูแลรักษาอาจมีความแตกต่างกัน ซึ่งการดูแลรถยนต์ EV แบบเบื้องต้นนั้นมีดังนี้
1. ดูแลมอเตอร์
องค์ประกอบสำคัญของการบำรุงรักษารถไฟฟ้า คือ มอเตอร์ ส่วนใหญ่แล้วมอเตอร์ของรถต์ไฟฟ้าไม่ต้องมีการบำรุงรักษาในระดับเดียวกับเครื่องยนต์แบบดั้งเดิม เพราะไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หรือแม้แต่เปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง แต่เพื่อให้มอเตอร์มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีนั้นควรนำมอเตอร์ของรถยนต์ไฟฟ้าเข้ารับบริการบ่อยเท่ากับรถยนต์ทั่วไป และใช้บริการจากช่างที่มีประสบการณ์เฉพาะด้านยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์
2. ศึกษาทำความเข้าใจการบำรุงรักษาเบรก
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้านั้นใช้สิ่งที่เรียกว่า Regenerative braking ซึ่งเป็นการใช้เบรกในการชาร์จไฟที่เป็นข้อได้เปรียบในการใช้งานของรถไฟฟ้า ด้วยการเพิ่มการชาร์จไฟให้สามารถขับขี่ได้ไกลกว่าเดิมโดยเฉพาะในเมืองที่มีการแตะเบรกอยู่บ่อยครั้ง การเบรกแบบ Regenerative braking จะช่วยให้คุณรักษาผ้าเบรกของได้นานขึ้นด้วย แต่อย่างไรก็ตามควรหลีกเลี่ยงการเหยียบเบรกในขณะที่รถมีความเร็วสูง ก็จะช่วยรักษาผ้าเบรกให้อยู่ได้นานขึ้นเช่นกัน
3. ควรจอดรถไฟฟ้าของคุณไว้ในที่ร่ม
การยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่โดยรวมด้วยวิธีง่าย ๆ สามารถทำได้โดยการจอดรถในที่ร่ม เพราะจะช่วยทำให้อุณหภูมิทรงตัวในวันที่อากาศร้อน ซึ่งถ้าหากปล่อยให้รถของคุณตากแดดนาน ระบบการจัดการความร้อนจะตอบสนองต่อความร้อนและจะทำงานหนักอย่างต่อเนื่องภายใต้แสงแดด เสี่ยงทำให้แบตเตอรี่ร้อนเกินไป ซึ่งถ้าหากจอดรถในที่ที่มีอากาศร้อนเป็นเวลานาน ก็จะส่งผลทำให้แบตเตอรี่มีอายุสั้นลงด้วย
4. การบำรุงรักษาพื้นฐาน
การบำรุงรักษารถยนต์ขั้นพื้นฐานนั้นยังคงจำเป็นเช่นเดิมเหมือนรถยนต์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น การเช็กเปลี่ยนยางครั้งสุดท้าย ระดับน้ำหล่อเย็นในรถ และการเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนอย่างน้องสองปีต่อครั้ง ซึ่งแน่นอนว่ามีบางสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไป เมื่อคุณเปลี่ยนมาขับรถยนต์ EV เช่น การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง แต่ถ้าหากสงสัยว่ารถของคุณกำลังมีปัญหา ควรรีบตรวจเช็กโดยผู้เชี่ยวชาญ เมื่อรู้สึกถึงสัญญาณแรกของปัญหา
สำหรับข้อมูลรถยนต์ EV ที่นำเสนอในวันนี้คงช่วยให้หลาย ๆ คนได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นว่ารถยนต์ไฟฟ้าค่ายไหนน่าจับตามองและน่าจับจองในปีนี้ ซึ่งแน่นอนว่าในอนาคตเราคงได้เห็นรถยนต์ไฟฟ้าจากหลากหลายค่ายมากขึ้นแน่นอน และนอกจากนี้ก็ยังเปลี่ยนอนาคตด้านพลังงานด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเป็นไปไหนทิศทางไหนนั้นก็คงต้องจับตามองกันต่อไปในปีนี้ยาว ๆ