Skip to content

บทความรถยนต์ที่คุณควรรู้

  • by
รถมือสอง - สโมสรรถบ้านขอนเเก่น

1. 5 รุ่นที่นิยมในตลาดมือสอง

ส่วนมากแล้วเวลาเราเดินไปตาม เต็นท์รถมือสอง เราอาจเห็นว่ามีรถอยู่หลายรุ่น หลายยี่ห้อ จอดเรียงรายเต็มไปหมด แต่ถ้าลองสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามีรถบางรุ่นที่จะเยอะกว่าใครเพื่อนอยู่เสมอ ซึ่งรถเหล่านั้นมักถูกเรียกว่า รถตลาด คือรถที่คนทั่วไปนิยมใช้งานกันเมื่อนำมาขายต่อเป็นรถ มือสองก็ได้ราคาสูง ไม่ค่อยตกรุ่นเท่าไหร่นัก ลองมาดูกันว่า 5 รุ่นรถยอดนิยมที่มักถูกนำมาขายเป็นรถมือ สอง มีรถรุ่นไหน ยี่ห้ออะไรกันบ้าง 

  1. Toyota Vios 
  2. Honda City
  3. Honda Civic
  4. Suzuki Swift
  5. Toyota Fortuner 

2. ข้อดีของรถมือสองที่ป้ายแดงเทียบไม่ติด

หลายคนเมื่อพูดถึง รถมือสอง ก็เบือนหน้าหนีแล้ว ก็มีข้อดีชนิดที่ว่ารถป้ายแดงเทียบไม่ติดเลยทีเดียว

  แม้ว่าปัจจุบันค่ายรถจะมีโปรโมชั่นฟรีดอกเบี้ย ดาวน์น้อย ผ่อนนาน ของแถมเพียบขนาดไหน แต่ตลาดรถยนต์มือสองก็ยังได้รับความนิยมอยู่เรื่อยๆ ไม่เสื่อมคลาย ซึ่งเหตุผลที่รถ มือสองถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับใครหลายคน มีดังนี้

2.1 ราคาต่างจากป้ายแดงมาก

ราคารถยนต์มือสองถือเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้หลายคนตัดสินใจซื้อรถ มือสองมาใช้งาน เนื่องจากยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ราคาตัวรถก็จะยิ่งถูกลง โดยเฉพาะเมื่อรถรุ่นเดียวกันมีการออกโมเดลใหม่ ก็มีส่วนทำให้ราคามือสองขยับต่ำลงได้อีกเช่นกัน

2.2 ได้รถขนาดใหญ่กว่าคุณภาพดีกว่า

หลายคนมักคิดว่าของใหม่ย่อมดีกว่าของใช้แล้วเสมอ แต่สำหรับรถยนต์อาจไม่จริงเสมอไปนัก เพราะการซื้อรถยนต์มือสอง อาจทำให้คุณได้รถรุ่นใหญ่กว่า ที่มีระบบความปลอดภัยและโครงสร้างตัวถังดีกว่า นี่ยังไม่รวมไปถึงคุณภาพวัสดุและการประกอบของรถรุ่นเล็กที่อาจไม่ดีเท่ากับรุ่นใหญ่

2.3 ค่าเสื่อมราคาน้อยกวาป้ายแดง

“รถ เท่ากับ ลด” เป็นสิ่งที่ใครหลายคนได้ยินกันบ่อย ทันทีที่คุณถอยรถป้ายแดงออกจากโชว์รูม มูลค่าตัวรถก็ลดลงนับแสนบาทแล้ว แต่สำหรับรถมือ สองไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะมูลค่ารถหล่นลงจากป้ายแดงมาก้อนใหญ่แล้ว หากคุณซื้อรถมือ สองมาใช้สัก 1 ปี แล้วเกิดอยากเปลี่ยนคันใหม่ มูลค่าอาจลดลงเพียงหลักหมื่นบาทเท่านั้น ขึ้นอยู่กับมูลค่าที่คุณซื้อมาด้วย

2.4 ซื้อเงินสดง่ายกว่า

รถยนต์มือสองมีราคาต่ำกว่าป้ายแดงมาก จนหลายคนนำเงินเก็บสะสมไปซื้อรถยนต์มือสองด้วยเงินสด โดยไม่ต้องเป็นหนี้ให้ปวดหัว แถมยังสามารถเก็บเงินก้อนใหม่ได้เร็วขึ้น นำเครดิตทางการเงินที่มีไปใช้กับทรัพย์สินอื่น เช่น บ้าน, คอนโดมิเนียม หรือนำไปลงทุนอื่นๆ ก็ยังได้

อย่างไรก็ดี รถยนต์มือสองใช่ว่าจะซื้อง่ายเหมือนกับรถใหม่นะครับ เพราะจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องตรวจสอบรถยนต์แต่ละคันอย่างรอบคอบ เปรียบเทียบคันอื่นๆ ในรุ่นเดียวกันอย่างละเอียด เพื่อให้เจอรถมือสองสภาพดีจริงๆ ไม่ถูกย้อมแมว ซื้อขายถูกต้องตรงไปตรงมา จึงจะช่วยให้ใช้รถได้อย่างสบายใจนั่นเองครับ

3. พ่วงแบตเตอรี่รถยนต์อย่างไรให้ถูกต้อง

แม้ว่าการพ่วงแบตเตอร์รี่รถยนต์จะสามารตทำเองได้ง่ายๆ แต่ยังมีข้อควรระวังเพื่อความปลอดภัยด้วย

การพ่วงแบตเตอร์รี่ คือ หนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาเบื้องต้น เมื่อคุณตกอยู่ในสถานการณ์นั้น  ซึ่งในครั้งนี้ สโมสรรถบ้าน ขอนแก่น มีขั้นตอนการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์แบบง่ายๆ มาแนะนำกันครับ

3.1 ดับเครื่องรถคันที่มาช่วย ปิดสวิตช์และอุปกรณ์ไฟฟ้าของรถทั้ง 2 คัน

3.2 ต่อสายพ่วงแบตเตอร์รี่ ตามลำดับต่อไปนี้

  • ต่อสายสีแดงที่ขั้ว + ของรถคันที่แบตเตอร์รี่หมด
  • นำไปต่อกับขั้ว + ของคันที่มีแบตเตอร์รี่ (สังเกตุขั้ว + จะมีพลาสติกสีแดงครอบอยู่ หรือมีสัญลักษณ์ + กำกับไว้)
  • ต่อสายสีดำที่ขั้ว – ของรถคันที่มีแบตเตอร์รี่
  • นำปลายอีกด้านหนีบเข้ากับส่วนที่เป็นโลหะของรถคันที่แบตเตอร์รี่หมด เช่นตัวถัง หรือน็อตต่างๆ
  • สตาร์ทรถคันที่มีแบตเตอร์รี่ ไว้ประมาณ 3 นาที เร่งเครื่องเล็กน้อย เพื่อให้มีการไหลเวียนประจุไฟฟ้า
  • สตาร์รถคนที่แบตเตอร์รี่ หมด เร่งเครื่องประมาณ 1,500-2,000 รอบ/นาที เพื่อเป็นการตรวจสอบประจุไฟในแบตเตอรี่
  • เมื่อเสร็จแล้ว ถอดสายพ่วงแบตเตอร์รี่ ออก โดยย้อนขั้นตอนในข้อ เป็น (4-3-2-1) อีกครั้งนะครับ

ข้อควรระวัง แม้ว่าการพ่วงแบตเตอรี่ รถยนต์จะสามารถทำได้เองง่ายๆ แต่ยังมีข้อควรระวังเพื่อความปลอดภัยด้วย ดังนี้

  • – ห้ามก่อให้เกิดประกายไฟ ในขณะพ่วงแบตเตอรี่.
  • ระหว่างทำการพ่วงแบตเตอร์รี่ ระวังอย่าให้ปลายสายพ่วงสัมผัสกัน เพราะจะทำให้ไฟฟ้าลัดวงจร
  • ระวังอันตรายจากน้ำกรดในแบตเตอรี่

4. ขับรถทางไกลต้องเติมลมยางอ่อนหรือแข็ง

บางคนอาจคิดว่า การขับรถเดินทางไกลควรที่จะเติมลมยางให้อ่อนกว่าปกติ เพราะคิดว่าเมื่อล้อหมุนนานๆ มันจะไปเพิ่มแรงดันลมยาง ทำให้แรงดันในยางมีมากขึ้น เสี่ยงที่จะเกิดอาการยางระเบิด ดังนั้นจึงไปลดแรงดันลมยางให้อ่อนลง ซึ่งจริงๆ แล้วมันถือเป็นความคิดที่ผิด เพราะลมยางที่อ่อนเกินไปจะทำให้ยางมีความยืดหยุ่นมากเกินพอดี แถมยังทำให้เกิดการเสียดสีกับถนนมากกว่าปกติ นอกจากนี้ยางจะไม่สามารถคงรูปเป็นวงกลมได้ จะมีลักษณะเป็นคลื่นมากกว่า ยิ่งวิ่งใช้งานไปนานๆ จะยิ่งทำให้เกิดความร้อนสะสมเพิ่มมากขึ้น และเมื่อตกหลุม หรือโดนกระแทกแรงๆ ก็อาจทำให้ยางเกิดระเบิดได้ง่ายอีกด้วย

ทางที่ดีคุณจึงควรเติมแรงดันลมยางให้มากกว่าเดิมตามที่ผู้ผลิตแนะนำสักเล็กน้อย เช่น จากเดิมเติมลมยางปกติอยู่ที่ 30 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) ก็ให้เติมเพิ่มเข้าไป 2-3 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) มันก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 32 – 33 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) นอกจากนี้หากคุณต้องขนของ หรือมีสัมภาระท้ายรถเยอะมากๆ คุณก็ควรที่จะเพิ่มแรงดันยางรถยนต์คู่หลังให้มากกว่าที่ระบุไว้ในคู่มือ เพื่อให้น้ำหนักกระจายไปได้ทั่วๆ

5. 6 วิธีเช็คสภาพรถหลังจากกลับจากเดินทางไกล

  • เช็คน้ำมันเครื่อง
  • เช็คสภาพลมยาง
  • เช็คน้ำหล่อเย็น
  • เช็คช่วงล่างและระบบกันสะเทือน
  • เช็คสภาพตัวถัง

ขั้นตอนเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลายคนอาจมองข้าม เนื่องจากเห็นว่ากลับบ้านได้โดยสวัสดิภาพแล้วก็จบกันไป แต่หากปฏิบัติได้ตามวิธีขั้นต้นนี้แล้วล่ะก็ จะช่วยให้เจ้าของรถสามารถตรวจพบความผิดปกติเบื้องต้นได้ ก่อนปัญหาจะลุกลามใหญ่โตนั่นเอง

6. เติมน้ำมันเต็มถังกับครึ่งถังอันไหนประหยัดกว่ากัน

    ถ้าเราเติมน้ำมันครึ่งถังเป็นประจำก็จะไม่ช่วยประหยัดน้ำมัน และส่งผลไม่ดีต่อเครื่องยนต์อีกด้วย เนื่องจากน้ำมันที่ไหลผ่านปั๊มติ๊กจะช่วยไม่ให้ปั๊มติ๊กร้อนและมีการหล่อลื่นเมื่อน้ำมันในถังเหลือน้อย จึงทำให้ปั๊มติ๊ก ต้องทำงานหนักมากขึ้นในการสูบน้ำมันที่อยุ่ในระดับ ต่ำลง ไป ประกอบกับไม่มีน้ำมันมาห่อหุ้มเพื่อระบายความร้อน และหล่อลื่นของปั๊มติ๊ก ซึ่งทั้งสองเหตุผลจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ปั๊มติ๊กเริ่มเสื่อมสภาพ

นอกจากนี้ถ้าน้ำมันในถังน้อยจนเกินไป จะส่งผลให้กลไกลลูกลอยวัดระดับน้ำมันเชื่อเพลิงในถังเกิดความสียหายได้ ยิ่งถ้าระดับน้ำมันเชื้อเพลิงอยุ่ในระดับต่ำแล้วขับข่ด้วยความเร็วสูง พร้อมยังผ่านพื้นที่ถนนที่มีความขรุขระจะทำให้กลไกลลูกลอยมีการสั่นสะเทือนและกระแทก อาจทให้ลูกลอยหลุด และแสดงระดับน้ำมนในถังไม่เที่ยงตรง หรือเรียกอีกอย่างว่าเกจ์วัดระดับน้ำมันเสียนี่เอง

แต่ถ้าเติมน้ำมันในขณะที่น้ำมันเกือบเต็มถัง หรือเติมน้ำมันมากเกินไป ไอระเหยของน้ำมันจะทำให้ระบบเครื่องยนต์มีปัญหา อีกทั้ง น้ำมันอาจซึม หรือ กระฉอกออกมาจากฝาถังในขณะขับรถ อาจทำให้เปื้อน ทำลายสีรถ และเกิดอันตรายได้

อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญหลายคนแนะนำ วิธีการเติมน้ำมันที่ถูกต้องว่า ควรเติมน้ำมัน 3ส่วน4 ของถังน้ำมันเสมอ อย่าปล่อยให้น้ำมันในถังแห้งบ่อยๆ เพราะอาจส่งผลไม่ดีต่อรถของเรา อีกทั้งรอให้น้ำมันเหลือ 1ส่วน4 ของถังก่อนแล้วค่อยเติมน้ำมัน เพราะจะช่วยถนอมและรักษาเครื่องยนต์ให้ใช้ไปอีกยาวนาน 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

X